เปิดประวัติแก๊สน้ำตา

แก๊สน้ำตา หรือที่ชื่อเรียกในระดับสากลว่า tear gas หรือ asphyxiant คือชื่อเรียกที่อยู่ในกลุ่มของสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อ จา จมูก ปาก ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่มักจะถูกนำมาใช้งานเพื่อเป็นการยับยั้ง ขัดขวาง กลุ่มคนเป็นจำนวนมากที่กำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงขณะนั้น

ถึงแม้ว่าจะใช้ชื่อว่า แก๊สน้ำตา แต่สถานที่อยู่ภายในกับไม่ใช่แก๊ส เพราะสารที่อยู่ภายในจะเป็นรูปแบบของ ของเหลว หรือ ของแข็งที่เป็นฝุ่นผง โดยจากประวัติศาสตร์ได้บอกเอาไว้ว่าการนำเอาแก๊สน้ำตามาเปิดตัวเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นการใช้งานของทหารฝรั่งเศส ที่ใช้ระเบิดมือที่บรรจุสารไซลิลโบรไมด์ เพื่อนำเอามาใช้เป็นอาวุธลับที่ใช้ในการต่อกรกับทหารเยอรมัน หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีการเปิดตัวการใช้งานแก๊สน้ำตาไปนั้น ก็ทำให้ธุรกิจแก๊สน้ำตาเฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการนำมาใช้งานอย่างมากมายใน สหรัฐอเมริกา

สำหรับสารเคมีที่นำเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำ แก๊สน้ำตานั้น ก็จะมีด้วยกันหลายประเภท หลายสูตร ที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ CS (chlorobenzylidenemalononitrile), CN (chloroacetophenone), CR (dibenzoxazepine) และ OC หรือสเปรย์พริก แก๊ส CS ถูกคิดค้นโดย Ben Corson และ Roger Stoughton นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2471

ในยุคแรก ๆ แก๊สน้ำตาถูกนำมาใช้เป็นระเบิดมือ ซึ่งถือว่าได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ก็ได้มีการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่องตามกาลเวลา ที่หลังจากนั้น แก๊สน้ำตา ก็ถูกนำเอาออกมาใช้งานในลักษณะที่เป็นทั้ง กระป๋อง ขวดสเปรย์ ปืน โดยที่สามารถนำเอามาใช้งานในรูปแบบ ขว้าง ปา พ่น หรือยิง ตามแต่ลักษณ์ของการใช้งานของแต่ละประเภท

ในปี พ.ศ.2536 ได้มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการ หยุด และห้ามใช้แก๊สน้ำตา ในการทำสงคราม ตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี แต่ยังสามารถนำเอา แก๊สน้ำตา มาใช้เพื่อเป็นการ หยุด สกัด และสลายการก่อจลาจลได้ โดยการตีความหมายของ แก๊สน้ำตา ที่ถูกบ่งบอกเอาไว้ว่า เป็นอาวุธที่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งหมายเอาชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าหาก แก๊สน้ำตา โดยเข้าต่อผิวหนังต่าง ๆ ก็อาจสร้างความระคายไปจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ เจ็บหนัก หรือรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และวิธีการใช้งานในแต่ละครั้ง

อาการที่จะเกิดขึ้นหลังจากโดนแก๊สสัมผัสกับผิวหนัง ได้แก่ เกิดการระคายเคืองตา มีอาการน้ำตาไหล จะทำให้มองภาพที่ไม่ชัด ตาแดง จมูกบวมแดง น้ำมูกไหล ปากบวม น้ำลายไหลตลอดเวลา จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดภาวะกลืนลำบาก แน่นหน้าอก ไอ หายใจติดขัด ผัวหนังไหม้ คลื่นไส้ อาเจียน

สำหรับอาการข้างเคียงที่จะส่งผลรุนแรง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจจะส่งผลถึงขั้นตาบอด หรือเสียชีวิตจากสารเคมีที่เข้าไปในร่างกายเป็นจำนวนมาก ทำให้ไปลำลายระบบทางเดินหายใจ และปอด