วิธีการดูแลลูกน้อยเมื่อเป็นโรคกลากน้ำนม

คุณแม่หลายท่านอาจอาจพบกำลังพบปัญหาที่ลูกน้อยมีผื่นสีขาววงกลมๆ ขึ้นที่ตามใบหน้า แล้วมีอาการคัน ซึ่งเป็นอาการของโรคผื่นแพ้ทางผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า “กลากน้ำนม” แล้วเมื่อเป็นกลากน้ำนมจะต้องดูแลอย่างไร มาหาคำตอบกัน

โรคกลากน้ำนมคือ? 

กลากน้ำนม (Pityriasis Alba) หรือเกลื้อนน้ำนม เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่น โดยจะมีผื่นสีขาวหรือสีที่อ่อนกว่าสีผิวปกติ มักเห็นได้ชัดในผู้ที่มีสีผิวเข้ม เกิดจากการลดจำนวนของเม็ดสีที่ผิวหนังลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจมีอาการแห้ง คัน ลอก แดง และอักเสบในบริเวณที่พบ เช่น แก้ม คาง คอ หน้าอก และหลัง แต่ไม่มีอาการรุนแรง สามารถหายเองได้ในเวลาระยะหนึ่ง โดยในช่วงแรกอาจเป็นผื่นชมพูอ่อน ๆ แห้งและตกสะเก็ด คล้ายอาการผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคกลากน้ำนมสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย และสามารถหายได้ 

สาเหตุของกลากน้ำนมคือ 

ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดของโรคที่แน่ชัด แต่พบว่าสัมพันธ์กับอาการผิวแห้งและโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) ซึ่งจัดว่าอยู่ในกลุ่มโรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) ที่อาจเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไวกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าการโดนแดดบ่อย ๆ และอากาศแห้งมักทำให้รอยด่างปรากฏชัดเจนมากขึ้น 

กลุ่มบุคคลเสี่ยงต่อการเป็นกลากน้ำนมได้ง่ายคือ ? 

1.เด็กและวัยรุ่นในช่วงอายุ 6-12 ปี พบการเกิดโรคได้ประมาณ 2-5% โดยเฉพาะในเด็กที่มีประวัติเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและการอักเสบของผิวหนังที่มีอาการคันร่วมด้วย 

2.เด็กที่อาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ 

3.ผู้ที่โดนแดดบ่อย ๆ โดยไม่ทาครีมกันแดด 

การดูแลลูกน้อยที่เป็นกลากน้ำนม 

ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถหายได้เอง โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา คุณพ่อคุณแม่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ด้วยวิธีดังนี้ 

1.การทาโลชั่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว ควรเลือกแบบที่ไม่มีน้ำหอม 

2.การทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกจากบ้าน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดนานเกินไป 

3.รักษาความสะอาดทุกส่วนของร่างกาย 

4.ไม่ควรให้ลูกอาบน้ำอุ่นนานเกินไป และควรใช้ครีมอาบน้ำสูตรอ่อนโอนต่อผิวเด็ก 

5.หากพบว่าลูกมีอาการคัน อักเสบรุนแรง หรือกลับมาเป็นซ้ำ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ  

เนื่องจากโรคกลากน้ำนมนั้นยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่นอนได้ และไม่มียารักษาโดยตรง แต่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเองซึ่งอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปีจนกว่าสีผิวจะกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้หากอาการรุนแรงควรพบแพทย์ทันที